ครั้งหนึ่งที่ต้องทำหน้าที่ติดต่อกู้เงินให้กับบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งที่มาทำธุรกิจในไทย สิ่งที่ดูจะเป็นเรื่องโคตรยากเมื่อไปพบปะพูดคุยกับธนาคารต่างๆ ก็คือการที่บริษัทเพิ่งจัดตั้งมาแค่หนึ่งปี และยังไม่มีรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ คือมีเพียงงบการเงินเพียง 2 ปี (จริงๆ ควรนับว่ามีงบปีเดียว เพราะปีแรกที่ก่อตั้งไม่มีบันทึก Transection ใดๆ เกิดขึ้นเลย) งบการเงินที่เอาไปให้ธนาคารดูคร่าวๆ ณ ตอนนั้น บริษัทมีรายได้แค่หลักไม่กี่แสนบาทของการดำเนินธุรกิจของปีที่สอง
ผมจำได้ว่าได้พบปะพูดคุยกับธนาคารไม่ต่ำกว่า 5-6 แห่ง (บางธนาคารคุยกับฝ่ายสินเชื่อของต่างสาขากัน) บางธนาคารให้ข้อเสนอว่าอาจจะให้เงินกู้ได้สัก 10-15 ล้านบาทแต่ก็มีข้อแม้ว่าต้องนำเงินสดวางค้ำประกันเท่ากับจำนวนเงินกู้ไว้กับธนาคาร ซึ่งผมเองก็งงๆ ว่าหากต้องทำอย่างนั้นแล้วผมจะต้องไปขอกู้ให้เสียดอกเบี้ยไปเพื่ออะไร เจ้าหน้าที่ธนาคารให้เหตุผลฟังดูเหมือนจะเข้าใจแต่แล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี5+ บางธนาคารก็เปรยๆ ว่าจะยอมปล่อยเงินกู้ให้ แต่ก็น้อยมากประมาณแค่สัก 50% ของจำนวนเงินสินเชื่อที่ต้องการ (ตอนนั้นต้องการอย่างน้อย 30-35 ล้านบาท)
โชคดีที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งให้แนวทางมาสองข้อคือ
- ธนาคารอาจจะพิจารณาปล่อยเงินกู้ให้ได้โดยดูผลประกอบการย้อนหลังของบริษัทแม่ที่อยู่ในต่างประเทศ
- บริษัทต้องเขียน Business Plan ให้ธนาคารพิจารณารายละเอียดโครงการลงทุนของบริษัทฯ
ผมไม่เคยเขียนแผนธุรกิจมาก่อน แต่ก็โชคดีที่เคยศึกษามาบ้างด้วยเพราะเป็นคนชอบอ่านและสะสมหนังสือทางด้านธุรกิจ เลยพอที่จะมีแผนที่นำทางว่าต้องเตรียมข้อมูลอะไรบ้างที่ธนาคารต้องการ
ผมนำข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง (งบการเงิน) ของบริษัทแม่ในต่างประเทศ, แผนการตลาดของฝ่าย Marketing, ข้อมูลด้านการผลิต และลักษณะโดยรวมของธุรกิจของบริษัทอย่างคร่าวๆ จากผู้บริหาร แล้วนำมาเรียบเรียงเขียนแผนธุรกิจของบริษัทซึ่งมีความหนาสักสิบกว่าหน้าได้ เพื่อนำไปพรีเซ้นต์ให้กับทีมเจ้าหน้าที่ธนาคารฟังและนำไปพิจารณา
มีข้อมูลหลายส่วนในแผนธุรกิจที่ต้องอธิบายให้ธนาคารเข้าใจ และหน้าที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดที่ผมตัดมานำเสนอให้ดู (จากรูปที่แสดง เป็นตัวเลขที่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมในการทำความเข้าใจ) ตารางหน้านี้จะทำหน้าที่อธิบายว่าบริษัทต้องการเงินลงทุนทั้งหมดเท่าใด เงินลงทุนนั้นๆ มาจากแหล่งเงินไหนบ้าง และเงินที่ได้จะถูกนำไปใช้อย่างไร
ในตารางผมได้ทำแผนการเงินไว้ในระยะเวลา 6 ปี โดยปีแรก (ปีที่ #0) จะเป็นปีแห่งการเตรียมการต่างๆ ซึ่งบริษัทจะยังไม่มีรายได้ที่มั่นคง (ประมาณการยอดขายไว้ที่ 30% ของกำลังการผลิตสูงสุด) จนกระทั้งปีที่ #3 ของการดำเนินงานจึงจะทำยอดขายได้ถึง 100% (250 ล้านบาท) และค่อยๆ เพิ่มขึ้นในปีถัดไปเมื่อบริษัทสามารถปรับปรุงกระบวนการการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (หรืออาจจะขยายกำลังการผลิตด้วยการลงทุนเพิ่ม)
ตัวเลขประมาณการยอดขายในแต่ละปีจะถูกกระทบย้อนกลับเพื่อถอดตัวเลขของ คชจ. และกำไรในขั้นสุดท้ายออกมา และจุดแข็งอย่างหนึ่งของงบที่ได้คือบริษัทสามารถประหยัดภาษีได้อย่างน้อย 5-6 ปีเนื่องจากได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงาน BOI ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีในการนำเข้าวัตถุดิบ, เครื่องจักร และภาษีของผลประกอบการประจำปี
เมื่อพิจารณาดูตัวเลขในตารางอาจจะรู้สึกไม่อยากจะทำความเข้าใจ แต่ไฮไลท์ของมันอยู่ที่ Flow- chart ของสองบรรทัดข้างล่างของตารางมากกว่าที่ผมคิดว่าสามารถใช้อธิบายให้ทั้งคนที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับงานด้าน Finance มองเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อดูจาก Chart ของภาพแถวล่างสุดเริ่มจากตรงส่วนกลางแสดงตัวเลขเงินทุนที่ต้องการจำนวน 60 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะได้มาจาก 3 Block ทางซ้ายมือ ประกอบด้วย
- เงินทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท
- เงินกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศ
- เงินยืมหรือเครดิตรจากการสั่งซื้อวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจาก Supplier ที่เป็นคู่ค้าประจำ
ส่วน 4 Block ด้านขวาเป็นการอธิบายถึงการนำเงินทุนไปใช้เกี่ยวกับอะไร ซึ่งคือ
- ซื้อที่ดินและอาคารโรงงาน
- ระบบ Facilities และเครื่องจักรต่างๆ
- การปรับปรุงตัวอาคารสถานที่ของโรงงาน
ส่วน Flowchart แถวบนใต้ตารางจะอธิบายสภาพการดำเนินงานของแต่ละปี ซึ่งเริ่มจากปีแรกเป็นการเตรียมการและค่อยๆ เดินเครื่องจักรแบบค่อยเป็นค่อยไปจนเข้าสภาวะสมบูรณ์เต็มกำลังการผลิตในปีที่ 3 และหลังจากนั้นอาจมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมต่อไปเมื่อโรงงานเข้าที่เข้าทางแล้ว