ในชีวิตเคยกู้เงินธนาคารมาก็สองสามครั้ง แต่ละครั้งเต็มที่ก็สองสามล้านเท่านั้นเพื่อเอามาซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งก็ไม่มีไรยุ่งยากมากเพราะทำงานเป็นลูกจ้างมีฐานเงินเดือนที่ชัดเจน แต่ก็มีอุปสรรคอยู่บ้างเช่นครั้งนึงเคยขอกู้ 1.5 ล้าน แล้วตอนนั้นฝ่ายสินเชื่อตรวจสอบเจอว่ามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ประมาณเกือบๆ แสนบาท เจ้าหน้าสินเชื่อโทรมาว่าขอให้เครียร์หนี้บัตรให้จบเสียก่อนแล้วจึงจะปล่อยเงินกู้ให้ ผมก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการโทรไปยืมเงินเพื่อนประมาณ 8 หมื่นบาทแล้วก็โอนปิดหนี้บัตรปุ๊บธนาคารก็โอนเงินกู้เข้าบัญชีให้ทันที (จริงๆ ธนาคารคงปล่อยเงินกู้ให้เรียบร้อยแล้วแหละ แต่ธนาคารคงเพียงแค่ต้องการทดสอบว่าเราสามารถจัดการหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางด้านการเงินได้ไหลลื่นหรือไม่)

ต่อมาเมื่อมาทำงานใหักับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย ณ ตอนนั้นผมต้องทำเรื่องขอกู้เงินให้บริษัทประมาณ 30~40 ล้านบาท แต่งานนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนกับการกู้เงินของตัวเองดังที่ยกตัวอย่างมา
ความยากของมันคือจำนวนเงินกู้ที่ไม่ใช่น้อยๆ และข้อจำกัดอื่นๆ เช่น
- บริษัทเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งและยังไม่มีผลประกอบการใดๆ ที่เกิดจากธุรกรรมภายในประเทศ (จริงๆ แล้วมีธุรกรรมบ้างแต่น้อยมาก จำนวนเงินแค่หลักหมื่นหรือแสนนิดๆ)
- ทุนจดทะเบียน ณ ตอนที่จะขอเงินกู้เงินก็น้อยมากเพียงแค่ประมาณ 2 ล้านบาท
- ต่างชาติถือหุ้น 100% ไม่มีผู้ถือหุ้นร่วมที่เป็นคนไทย ทำให้สถานะของบริษัทถือเป็นบริษัทต่างชาติ 100%
แต่ในความยากของมันก็พอจะมีตัวช่วยอยู่บ้างตรงที่
- บริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
- บริษัทแม่ซึ่งอยู่ต่างประเทศมีการส่งสินค้าเข้ามาขายในไทยอยู่ก่อนหน้าแล้ว 2~3 ปี ซึ่งสามารถแสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาได้
- อื่นๆ (ยังนึกไม่ออก5+)
งานนี้เป็นงานที่หินมากสำหรับชีวิตการทำงานมา เพราะอย่างที่บอกว่าทำงานเกือบ 30ปี แต่ก็ไม่เคยต้องยุ่งเกี่ยวและรับผิดชอบเรื่องการเงินของบริษัทเสียขนาดนี้ เลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังกัน
ความยากและความท้อ ณ ตอนนั้นคือ ผมต้องวิ่งเจรจาพูดคุยกับธนาคารทั้งเล็กใหญ่ทั้งหลาย เช่น กรุงเทพ, กสิกร, กรุงไทย, กรุงศรี, ไทยพาณิชย์, ยูโอบี บางธนาคารไม่ได้คุยติดต่อกับสาขาเพียงสาขาเดียว คุยกับเจ้าหน้าที่สามสี่สาขา บางธนาคารต้องขับรถไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ต่างจังหวัดไกลๆ (เช่นกบิลทร์บุรี) และอีกครั้งหนึ่งที่โคตรซึ่งกับคำพูดที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เพราะอะไรเหรอครับ?
ก็เพราะกับการคาดหวังกับคนที่รู้จักและช่วยแนะนำคนวงในไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย ขนาดแม้แต่ตัวผมเองที่ได้รู้จักกับผู้การบางธนาคารมากว่าสิบปี และคาดหวังว่าเขาอาจจะช่วยเราได้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย แต่สุดท้ายผมโชคดีที่ได้เจอเจ้าหน้าที่ของทีมงานของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งทีมงานนี้ให้ความช่วยเหลืออย่างแข่งขัน ได้ให้คำแนะนำและทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันจนท้ายสุดก็เลยได้สินเชื่อจากธนาคาร (จริงๆ แล้วไม่คิดว่าน่าจะได้ เพราะกับเฉพาะธนาคารนี้ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อประมาณ 4 แห่งได้) และก็ทำให้เข้าใจหลักการสำคัญข้อนึงที่ว่าหากธนาคารหนึ่งลงความเห็นว่าการขอสินเชื่อของเราไม่น่าจะผ่านเกณฑ์ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีทางจะผ่าน มุมมองของเจ้าหน้าที่พิจารณาจากสาขาหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไม่ผ่านมุมมองจากเจ้าหน้าที่ของสาขาอื่นๆ ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าทีมงานพิจารณาหรือเจ้าหน้าที่นั้นๆ เขามองเห็นความเป็นไปได้และพร้อมที่จะเหนื่อยไปกับเราด้วยหรือไม่
ประเด็นปัญหาใหญ่ของโครงการที่ผมนำเสนอคือ บริษัทเพิ่งจัดตั้งและไมีมีประวัติการทำธุกรรมที่น่าเชื่อถือ และต่างชาติถือหุ้น 100% แค่สามประเด็นนี้ไม่ว่าไปคุยกับธนาคารไหนเขาก็ส่ายหน้ากันหมด
แล้วต้องทำอย่างไร?
พระเอกที่ช่วยผมตอนนั้นคือการเขียน Business plan ไม่เคยเรียนหรือเข้าอบรมเรื่องพวกนี้จากไหนมาก่อน แต่โชคดีที่ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือและซื้อหนังสือเรื่องการเขียนแผนธุรกิจมาเก็บไว้สองสามเล่ม จึงได้หยิบมารื้อฟื้นและเขียนแผนธุรกิจของบริษัทออกมา (ตอนที่ซื้อหนังสือมาอ่านรู้สึกว่ามันก็ยากๆ อยู่เพราะต้องมีความรู้หลากหลายแขนง สุดท้ายก็เก็บเข้าตู้)
ทำไมต้องเขียนแผนธุรกิจเองนะเหรอครับ เพราะได้ขอแผนธุรกิจจากผู้บริหาร(เจ้านาย) ที่เป็นต่างชาติทั้งหลายแต่ไม่มีใครสามารถให้ผมได้เลยสักคนเดียว ผมจึงต้องขอข้อมูลดิบแยกย่อยไปตามแผนกต่างๆ เช่น ของบการเงินและข้อมูลประวัติการขายย้อนหลังจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ, ขอข้อมูล Forecast ยอดขายในอนาคตจากฝ่ายการตลาด
หากข้อมูลที่ขอเป็นในส่วนของฝ่ายบัญชีก็ง่ายหน่อยเพราะมันเป็นข้อมูลย้อนหลังที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว แต่หากเป็นข้อมูลที่ขอจากฝ่ายการตลาดก็จะเป็นอะไรที่ยากมาก คุณผู้อ่านรู้มั๊ยครับว่าผมเสียเวลารอข้อมูลประมาณการยอดขายในอนาคตจากฝ่ายการตลาดอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ โดยผลลัพธ์ที่ได้มาคือไฟล์ excell ที่มีความยาวไม่ถึงครึ่งหน้ากระดาษ (อยากจะเอาหัวโขกกำแพง เพราะตอนนั้นธนาคารแต่ละแห่งก็เร่งขอดู Business plan)
สรุปคือผมได้ข้อมูลรอบด้านแบบหยาบๆ มาจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แล้วผมต้องเอาข้อมูลทุกอย่างมานั่งเทียนกระทบยอดขาย กำไร มูลค่าการลงทุน แล้วทำออกมาเป็นแผนงานการใช้เงินลงทุนต่างๆ จนทำออกมาเป็น Business plan ที่มีความหนาสักสิบกว่าแผ่นได้ ซึ่งในจำนวนสิบกว่าแผ่นที่สำคัญจริงๆ ก็จะมีอยู่สักสามสี่หน้าที่จะอธิบายให้ธนาคารเข้าใจได้ว่าทำไมบริษัทต้องการเงิน 30 กว่าล้านนั้นให้ได้
หากจะถามว่าจำนวนเงินที่ต้องการ 30 ล้าน (ขอใช้เลข 30 กลมๆ เพื่อง่ายในการอธิบาย) นั้นมาได้อย่างไร ก็จากคำสั่งของเจ้านายไงครับว่าอยากได้ 30 ล้าน แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไม แต่ความยากมันตกที่ผม เพราะเมื่อเอามาเขียนแผนธุกิจ ผมต้องแสดงความสอดคล้องของตัวเลขต่างๆ และอธิบายตอบคำถามเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ได้ในวันที่ผมเอาแผนธุรกิจไปพรีเซ้นต์ให้เจ้าหน้าที่เกือบสิบคนที่นั่งรุมล้อมฟังผมพรีเซ้นต์โครงการ
โชคดีที่ก่อนจะทำเรื่องขอเงินกู้ธนาคาร ผมเป็นคนเขียนโครงการเพื่อขอสนับสนุนการลงทุนจากหน่วยงาน BOI และก็เป็นคนนั่งเทียนผูกโยงข้อมูลว่าบริษัทจะผลิตอะไร จำนวนเท่าไหร่ ยอดขายประมาณการเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ และจะต้องลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์อย่างไรเท่าไหร่ (จากข้อมูลดิบที่มีอย่างน้อยนิด) ข้อมูลเล่านั้นสามารถนำมาต่อยอดเขียนเป็นแผนธุรกิจได้เป็นอย่างดี จนท้ายสุดผมโครงการเงินกู้ของบริษัทสามารถผ่านการพิจารณาอนุมัติได้อย่างราบรื่น
ผมเองได้ประสบการณ์จากการเขียนโครงการนี้หลายๆ อย่าง ต้องค้นคว้าหาความรู้เยอะพอสมควรเข้าใจกับคำพูดที่ว่าความรู้เรียนกันไปไม่มีวันหมด “จงเก็บดอกไม้ริมทางไปเรื่อยๆ” (คำสอนจากอาจารย์ที่สอนวิชาบัญชีบริหาร) คนที่ทำงานทางด้านนี้เป็นปกติอ่านแล้วก็อาจจะคิดว่าก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับผมผู้ที่ไม่ได้อยู่กับเรื่องการเงินมาโดยเฉพาะมันยากหลายอยู่ แต่โชคดีที่เป็นคนรักการอ่านและชอบสะสมหนังสือความรู้ต่างๆ พอเมื่อมีเหตุให้ต้องใช้งานก็สามารถหยิบออกมาหาความรู้ได้ (คนรุ่นใหม่อาจจะเถียงว่าหาความรู้จากอินเตอร์เน็ตง่ายและเร็วกว่า แต่ผมคิดว่าความรู้จากอินเตอร์เน็ตมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือบางครั้งมันไม่ปะติดปะต่อ ความรู้มันกระโดดข้ามไปมาไม่เป็นลำดับขั้นตอนเหมือนกับการอ่านตำรา เพราะอ่านจากตำรามันจะมีสารบัญ แบ่งหัวข้อให้เราค่อยๆ ปูพื้นฐานอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ความรู้จากอินเตอร์เน็ตข้อดีคือไวและกระชับเหมือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ขาดความอร่อยละเมียดละไมเหมือนอาหารปรุงรสเลิศ 55+)
อีกสิ่งที่ไม่พลาดที่จะขอบคุณก็คือมีเจ้าหน้าที่ธนาคารอีกหลายๆ คนหรือทีมงานที่มีความตั้งใจจะช่วยเหลือลูกค้าอย่างมุ่งมั่น ไม่ใช่บางรายที่แค่เพียงพิจารณาโครงการของลูกค้าอย่างผิวเผินแล้วมองว่าเป็นไปได้ยาก หรือหากเป็นไปได้ก็เหนือยที่ต้องใช้พลังงานเยอะกว่าที่จะทำให้โครงการผ่านได้ แล้วก็ปฏิเสธโครงการ ทำให้ผู้ขอกู้ต้องเสียโอกาสไป
ผมโชคดีที่หลังจากเหนื่อยกับการวิ่งพบปะพูดคุยกันเจ้าหน้าที่หลายๆ ธนาคารแล้วก็ได้มาเจอกับทีมงานฝ่ายสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ของธนาคารกสิกรไทยที่มีความเป็นกันเองและให้คำแนะนำช่วยเหลือเป็นอย่างมาก