เมื่อต้องกู้เงิน 35 ล้านจะผ่านมั๊ยหว่า!

ในชีวิตเคยกู้เงินธนาคารมาก็สองสามครั้ง แต่ละครั้งเต็มที่ก็สองสามล้านเท่านั้นเพื่อเอามาซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งก็ไม่มีไรยุ่งยากมากเพราะทำงานเป็นลูกจ้างมีฐานเงินเดือนที่ชัดเจน แต่ก็มีอุปสรรคอยู่บ้างเช่นครั้งนึงเคยขอกู้ 1.5 ล้าน แล้วตอนนั้นฝ่ายสินเชื่อตรวจสอบเจอว่ามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ประมาณเกือบๆ แสนบาท เจ้าหน้าสินเชื่อโทรมาว่าขอให้เครียร์หนี้บัตรให้จบเสียก่อนแล้วจึงจะปล่อยเงินกู้ให้ ผมก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการโทรไปยืมเงินเพื่อนประมาณ 8 หมื่นบาทแล้วก็โอนปิดหนี้บัตรปุ๊บธนาคารก็โอนเงินกู้เข้าบัญชีให้ทันที (จริงๆ ธนาคารคงปล่อยเงินกู้ให้เรียบร้อยแล้วแหละ แต่ธนาคารคงเพียงแค่ต้องการทดสอบว่าเราสามารถจัดการหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางด้านการเงินได้ไหลลื่นหรือไม่) ต่อมาเมื่อมาทำงานใหักับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย ณ ตอนนั้นผมต้องทำเรื่องขอกู้เงินให้บริษัทประมาณ 30~40 ล้านบาท แต่งานนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนกับการกู้เงินของตัวเองดังที่ยกตัวอย่างมา ความยากของมันคือจำนวนเงินกู้ที่ไม่ใช่น้อยๆ และข้อจำกัดอื่นๆ เช่น แต่ในความยากของมันก็พอจะมีตัวช่วยอยู่บ้างตรงที่ งานนี้เป็นงานที่หินมากสำหรับชีวิตการทำงานมา เพราะอย่างที่บอกว่าทำงานเกือบ 30ปี แต่ก็ไม่เคยต้องยุ่งเกี่ยวและรับผิดชอบเรื่องการเงินของบริษัทเสียขนาดนี้ เลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังกัน ความยากและความท้อ ณ ตอนนั้นคือ ผมต้องวิ่งเจรจาพูดคุยกับธนาคารทั้งเล็กใหญ่ทั้งหลาย เช่น กรุงเทพ, กสิกร, กรุงไทย, กรุงศรี, ไทยพาณิชย์, ยูโอบี บางธนาคารไม่ได้คุยติดต่อกับสาขาเพียงสาขาเดียว คุยกับเจ้าหน้าที่สามสี่สาขา บางธนาคารต้องขับรถไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ต่างจังหวัดไกลๆ (เช่นกบิลทร์บุรี) และอีกครั้งหนึ่งที่โคตรซึ่งกับคำพูดที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เพราะอะไรเหรอครับ? ก็เพราะกับการคาดหวังกับคนที่รู้จักและช่วยแนะนำคนวงในไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย ขนาดแม้แต่ตัวผมเองที่ได้รู้จักกับผู้การบางธนาคารมากว่าสิบปี และคาดหวังว่าเขาอาจจะช่วยเราได้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย แต่สุดท้ายผมโชคดีที่ได้เจอเจ้าหน้าที่ของทีมงานของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งทีมงานนี้ให้ความช่วยเหลืออย่างแข่งขัน ได้ให้คำแนะนำและทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันจนท้ายสุดก็เลยได้สินเชื่อจากธนาคาร (จริงๆ […]
แมงกินเงิน 3 ตัว

ผมไม่ใช่นักบัญชีแต่ก็เคยได้เรียนบัญชีมาสมัยเรียน ป.ตรี การจัดการอุตสาหกรรม เรียนบัญชีมา 4 ตัว บัญชีตัวสุดท้ายคือบัญชีบริหาร เรียนมามากมายแต่เมื่อในหน้าที่การทำงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ลืมและส่งคืนอาจารย์หมด จนเมื่อการงานที่ทำต้องมีความเกี่ยวข้องกับเงินๆทองๆ ของบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเรียนก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความทรงจำ และทำให้ต้องกลับไปค้นหาความรู้เดิมกลับขึ้นมาใช้งาน เวลาได้ยินคนพูดว่าค้าขายดีมีกำไรแต่ไม่เหลือเงินสดอยู่ในมือ สำหรับผมคนไม่เคยทำธุรกิจเวลาได้ยินเขาพูดก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร เพราะประสบการณ์ในการทำงานมากว่า 30ปี ส่วนใหญ่ก็จะสาละวนอยู่กับงานด้านเทคนิคอลเสียเป็นส่วนใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อต้องมาบริหารงานให้กับบริษัท Sub-Contact เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีเงินลงทุนสักระดับสิบล้านโดยประมาณ และต้องมารับรู้รายรับรายจ่ายของบริษัท วันดีคืนดีเงินในบริษัทไม่พอใช้จ่ายก็ต้องวิ่งโร่ไปขอให้ลูกค้าชำระเงินค่าสินค้าให้เร็วกว่ากำหนด (บ่อย5+) บางเดือนก็หนักถึงขนาดต้องควักเงินตัวเองเป็นแสนเพื่อจ่ายเงินเดือนให้พนักงานไปก่อน ทำให้เริ่มสงสัยว่าจริงๆ แล้วบริษัทค้าขายมีกำไรหรือไม่ หากมีกำไรแล้วกำไรหายไปไหนหมด และหากไม่มีทำไมเจ้าของเขายังทนทำมันมากว่าสิบปี (ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม คือชักหน้าไม่ถึงหลัง) หรือว่าเจ้าของเขาจงใจเล่นแร่แปรธาตุให้ผลประกอบการมันลุ่มๆ ดอนๆ ไปแบบนี้? พอต่อมาได้มาทำงานให้กับบริษัทอื่นที่ใช้เงินลงทุนระดับร้อยล้าน ก็ยังเจอปัญหาเรื่องการเงินแบบชักหน้าไม่ถึงหลังคล้ายๆ กัน ซึ่งตอนนี้ผมต้องมาดูแลและรับรู้การเงินและระบบการทำบัญชีของบริษัทด้วย ต้องติดต่อพูดคุยกับสถาบันการเงินเพื่อขอเงินกู้และต้องสามารถอธิบายที่ไปที่มาของเงินที่ไหลเวียนเข้าออกในบริษัทได้ ทำให้เริ่มเข้าใจคำว่า “ค้าขายดีมีกำไรแต่ไม่เหลือเงินสด” ชัดเจนมากขึ้น ผลประกอบการของบริษัทเมื่อดูจากงบการเงินมีกำไรปีละประมาณยี่สิบกว่าล้านได้ แต่กลับมีเงินสดในธนาคารแค่สามสี่ล้าน ผมเริ่มสงสัยว่าแล้วกำไรที่แท้จริงมันหายไปอยู่ที่ไหน จนต้องไปเปิดตำราเรียนเก่าๆ รวมทั้งหนังสือด้านบริหารและการเงินต่างๆ ที่ชอบซื้อเก็บสะสมไว้ออกมาอ่านจึงทำให้เข้าใจ บริษัทที่มีผลประกอบการดูดีมีกำไร แต่อาจจะไม่มีเงินสดหรือเงินฝากอยู่ในบัญชีก็ได้ เพราะมีการนำเงินสดไปใช้อื่นๆ ซึ่งมีสามประเภท ฟังดูหากมีพื้นฐานทางบัญชีเพียงน้อยนิดก็ไม่ยากที่จะเข้าใจมัน […]