ตอนเรียนจบ ปวส.(อิเล็กทรอนิกส์) และทำงานใหม่ๆ ในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ตำแหน่งเริ่มแรกตอนนั้นคือ Technician ประจำแผนก Trouble Shooting งานหลักๆ ตอนนั้นคือการดูแลขั้นตอนการทดสอบแผงวงจร (PCBA) และผลิตภัณฑ์ที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว (Final Ass’y) และการติดตั้งหรือการ Setup เครื่องมือหรือเครื่องจักรและ Test Jig ต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่โรงงานทำงานการผลิต (เครื่องรับโทรศัพท์และตู้ชุมสายขนาดเล็ก PABX, Etc.)

ในโรงงานมีทั้งเครื่องจักร เช่น Auto Insertion m/c, Wave Soldering, Hi-Pot Tester และอีกมากมาย แต่มีเครื่องจักรสองอย่างที่ผมถือว่าเป็นครูของผมก็คือเครื่อง Telephone Analyzer และเครื่อง ICT (In-circuit Tester) เป็นเครื่องมือสองชิ้นแรกที่พี่เอ็นจิเนียร์สอนการใช้งานให้และในแต่ละวันตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาออดเข้างาน ผมจะต้องเดินเช็คเครื่องมือเหล่านี้ในแต่ละไลน์การผลิต เพราะต้องทำการตั้งโปรแกรมการให้เครื่องตาม Model รุ่นของผลิตภัณ์ที่จะถูกผลิตและทดสอบในแต่ละไลน์สายพานการผลิตนั้นๆ (ตอนทำงานใหม่ๆ เครื่อง Telephone Analyzer น่าจะมีไม่ถึงสิบเครื่องในโรงงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อมีการขยายไลน์การผลิตเพิ่มมากขึ้น เจ้าเครื่อง Analyzer นี้น่าจะมีมากกว่าห้าสิบเครื่อง
ส่วนเครื่อง ICT (In-Circuit Tester) จะมีอยู่สองเครื่อง เป็นเครื่องที่ค่อนข้าง Sensitive มากๆ เพราะอากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวทำให้มันวัดค่าๆ ออกมาไม่นิ่งแล้วทำให้ผลการทดสอบแผงวงจรไม่ผ่าน พนักงานก็เรียกให้ต้องไปดูเครื่องอยู่ตลอดเวลา บางทีต้องเอาพัดลมมาเปิดเป่าแผงวงจรภายในเครื่องเพื่อลดอาการรวนของมัน หรือบางครั้งก็แอบโกงการทำงานของเครื่องด้วยการตั้งโปรแกรมให้มันกระโดดข้ามบางขั้นตอนของการทดสอบที่มันชอบมีปัญหา

หากเมื่อเสร็จจากการ Support พวกเครื่องจักรหรือเครื่องทดสอบต่างๆ ในไลน์การผลิตแล้วก็จะไปนั่งซ่อมแผงวงจรหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือเรียกว่าตำแหน่งช่างซ่อมดีๆ นี่แหละครับ
ที่กล่าวมาทั้งสองหน้าที่หลักๆ ที่ทำอยู่ก็ไม่มีไรเป็นปัญหาไปได้ดี โชคดีที่ผมเรียนจบทางช่างอิเล็กฯ โดยตรงและตอนเรียนก็ชอบเรื่องทางโทรคมเป็นพิเศษ เวลาเข้ามาทำงานเมื่อเขาเทรนอะไรให้ก็สามารถเรียนรู้ได้เร็ว

แต่มีอยู่งานหนึ่งซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้จักและไม่เคยเรียนมาก่อน และก็ไม่เข้าใจว่าให้ผมทำไปทำไม ก็คือทุกๆ วันผมจะต้องเดินถือนาฬิกาจับเวลาไปจับเวลาในทุกๆ ตำแหน่งการทำงานของ Worker ที่นั่งประกอบชิ้นงานอยู่ในสายการผลิต (หลายๆ ครั้งโดน Worker เขม่นพูดแซวถากถางแต่ก็เฉยๆ ขำๆ ไป) และก็จดบันทึกผลมันลงในตารางกระดาษที่เขาทำไว้ให้ เสร็จแล้วผมจะต้องดูจากตารางค่ามาตรฐานที่วิศวกรเขามีไว้ให้ว่า หากไลน์สายพานจะผลิตหรือกำลังผลิตภัณฑ์รุ่นไหน ผมจะต้องไปคอยปรับความเร็วรอบมอเตอร์ของสายพานให้ได้ Speed ความเร็วตามตารางเวลามาตรฐานของแต่ละรุ่นผลิตภัณฑ์นั้นๆ และก็มักจะมีปัญหากับ Leader ประจำไลน์ผลิตนั้นๆ ประจำ คือ Leader หรือพนักงานในไลน์มักจะแอบไปปรับลดความเร็วของสายพานลงโดยอ้างว่าเพื่อให้พนักงานบางตำแหน่งที่ทำงานได้ไม่ทันจะทำงานได้ทัน ซึ่งในอีกมุมหนึ่งก็จะเกิดปัญหาว่าหากปรับความเร็วสานพานช้าเกินไปก็จะทำให้งานที่ออกท้ายไลน์สายพานช้ากว่าเป้าที่ควรจะทำได้ ซึ่งถูกกำหนดมาจากวิศวกร แต่หากไลน์ใดเจอผมรายงานว่าคนงานหรือหัวหน้าไลน์ไปแอบปรับความเร็วลง ก็จะโดน ผจก.เรียกไปว่ากล่าว(ด่า5+) เช่นกัน แต่ผมก็ไม่ค่อยทำหรอกครับ เพราะก็เห็นใจกันอยู่ (หรือโดนติดสินบนก็ไม่รู้ซินะ)
ผมไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่าวิศวกรในโรงงานเขาแบ่งเป็น EE, IE หรืออะไรก็แล้วแต่ เข้าใจแต่ว่าคงจะมีพวกวิศวกรที่เป็นพวก Mechanical และพวก Electronic (เพราะเป็นโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็มีการฉีดพลาสติกด้วยจึงต้องมีพวกวิศวทางแมคคานิคด้วย) และตอนนั้นทั้งโรงงานก็มีพี่ที่เป็นวิศวกรกันอยู่แค่สองคน

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขามีพวกเรียนทางสาย Process engineer ด้วย เพราะตอนผมเข้าไปทำงานมันยังไม่มี และผมก็ไม่มีความรู็เรื่องการจับเวลาหรือแม้แต่จะรู้จักคำว่า Line Balancing ซึ่งมันควรจะเป็นหน้าที่ของวิศวกรเป็นคนทำ แต่เขากลับมาสั้งให้ผมทำหน้าที่นี้ (เขามาสอนให้ทำ) แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเราเป็นลูกจ้างเขาสอนอะไรให้ทำอะไรก็เต็มใจทำอยู่แล้วเพราะอยากทำเป็นไปเสียทุกอย่าง
วันเวลาผ่านไปห้าปี ผมก็ทำงานที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นเป็นลำดับ แต่สิ่งที่ยังต้องทำโดยไม่แปรเปลี่ยนก็คือความรับผิดชอบเรื่องการจับเวลา ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าไอ้สิ่งที่ทำอยู่นี่เขาเรียกว่า Line Balance แต่มีรายละเอียดที่เข้มข้นมากกว่าเดิม คือต้องทำรายงาน และทำแผนงานส่ง ผจก.โรงงาน เพื่อวางแผนว่าในแต่ละปีจะต้องปรับปรุงกระบวนการอย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต ประมาณว่าทำอย่างไรให้ผลิตได้ Output มากขึ้น หรือหากจะเท่าเดิมก็ต้องลดจำนวนคนลง

ตอนนั้นผมลงเรียน ป.ตรี ภาคค่ำในสาขาการจัดการอุตสาหกรรมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับนิคมฯ (ทางเข้าเมืองชลบุรี) ไม่รู้จบมาได้อย่างไร ผมจำไม่ได้เลยว่าเขามีการสอนเรื่องการทำ Line Balance (การจัดสมดุลย์สายการผลิต) ด้วยหรือไม่ แต่ก็จำได้ว่ามีภาพนาฬิกาจับเวลายังเลือนๆ อยู่ในความทรงจำ แต่ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มประโยชน์อะไรกับการทำงานเพราะสิ่งที่ทำอยู่จริงมันมีความเป็นภาคปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีในตำราที่อาจไม่สามารถนำใช้งานได้จริงเนื่องจากสภาพแวดล้อมของผลิตภัฑ์ที่เขายกตัวอย่างให้ตามตำรามันไม่เหมือนกับหน้างานที่เราทำอยู่จริง
จากวันนั้นที่เรียนจบ ป.ตรี ผ่านมาอีกสิบปีจนวันหนึ่งที่เบื่อๆ งานและอยากจะลองกลับไปนั่งเรียนหาความรู้ในระดับ ป.โท อีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่อายุจะเกินจนเขาไม่อยากรับเข้าเรียน5+ ผมได้ไปสมัครลงเรียนกับมหาวิทยาลัยที่เปิดใหม่แห่งหนึ่ง (เปิดมาได้สี่ห้าปี) แต่สาขาที่ผมลงเรียนนั้นเป็นสาขาที่เปิดเป็นปีแรก ซึ่งผมก็ไม่ได้ศึกษารายละเอียดอะไรมากนัก ความคิดในตอนนั้นคือเบื่อเรื่องในโรงงานเหลือเกิน อยากหาความรู้ไรใหม่ๆ เรียนดูบ้างและตอนนั้นเขาก็มีให้เลือกลงเรียนสองสาขาวิชา คือ 1) การจัดการอุตสาหกรรม และ 2) การจัดการวิสาหกิจสำหรับผู้บริหาร ซึ่งสาขาวิชาที่สองนี้เป็นสาขาที่เปิดเป็นปีแรก ผมจึงสนใจตรงที่ว่าเออน่าจะดีเพราะจะได้เป็นนักศึกษารุ่นแรกของสาขานี้ และที่สำคัญที่สุดคือผมไม่อยากเลือกสาขาการจัดการอุตสาหกรรม เพราะเบื่องานในโรงงานเหลือทนแล้ว

แต่ที่ไหนได้ 555+ เหมือนหนีเสือปะจรเข้ กลายเป็นว่าสาขาการจัดการวิสาหกิจสำหรับผู้บริหารนี้ กลับเป็นสาขาที่เรียนเจาะลึกสำหรับการเป็นผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม (เผือกไม่ดูรายละเอียดหลักสูตรก่อนจะเลือก5+) เพราะมันเรียนการบริหารทุกอย่างในโรงงานอุตสาหกรรมและจะต้องมีการเข้าโรงงานเพื่อไปวินิจฉัยสถานประกอบการต่างๆ บ่อยมาก และที่ทำสัญที่สุดคือ มีการสอนเรื่องการจัดการกระบวนการผลิตต่างๆ รวมถึงการทำหรือออกแบบ LINE BALANCING ซึ่งผมก็ทำมันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่การได้มาเรียนในครั้งนี้เขาสอนที่ไปที่มาและเครื่องมือทุกๆ อย่างจนผมเข้าใจภาพกว้างและรายละเอียดของมันได้เป็นอย่างดี
จนเมื่อต้องทำสารนิพนธ์ก่อนจบ ผมก็เลยได้เอางานที่เคยได้ทำมาอย่างยาวนานในโรงงานมาทำเป็นเป็นสารนิพนธ์ที่มีหลักทฤษฎีประกอบส่งได้อย่างราบรื่น