พอดีเมื่อปีก่อนที่บ้านทำบุญบ้านแล้วเห็นเขาวางเรียงซ้อนถาดขนมไว้แล้วดูสวยดีเลยถ่ายเก็บไว้ดูเล่นเพราะนึกถึงตอนเด็กๆ ที่มีส่วนร่วมในขั้นตอนการทำขนมไทยๆ พวกนี้
สมัยนี้เวลาทำบุญผมไม่ค่อยเห็นแล้วว่าบ้านงานหรือเจ้าภาพจะทำขนมเอง ส่วนมากจะซื้อสำเร็จรูปเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่บ้านผมเองยังทำเองบ้างบางรายการและซื้อสำเร็จรูปบ้างจากตลาด
แต่นึกถึงตอนเป็นเด็กๆ ไม่ว่าที่บ้านหรือบ้านยายและละแวกบ้านเวลามีงานบุญผมเป็นเด็กๆ ก็จะได้ไปวิ่งเล่นในงาน สมัยก่อนหากเป็นงานใหญ่ๆ เช่นงานแต่งงานเขาจะมีการเตรียมงานกันหลายวัน
เช่นจะได้ยินเขาพูดกันว่า วันงาน วันแห่ วันสุกดิบ ผมก็เรียงวันไม่ถูกว่าวันไหนเป็นวันไหน แต่ก็เข้าใจว่าวันงานจริงคือวันสุดท้ายที่มีแขกเหรื่อมางานเยอะๆ และมีการแห่มาของเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวด้วย ส่วนวันก่อนวันงานก็จะเรียกกันว่าวันสุกดิบซึ่งผมไม่เข้าใจเท่าไรว่าวันสุกดิบนั้นต้องมีกี่วัน แต่เท่าที่เข้าใจผมเข้าใจว่าวันก่อนวันงานจริงน่าจะเรียกว่าวันสุกดิบ ซึ่งเป็นวันที่การปรุงอาหารหวานคาวต้องเสร็จสิ้นและเริ่มนำออกเลี้ยงแขกเหรื่อญาติสนิทที่มาในงาน (ตอนเย็นและกลางคืน) แต่ในความเป็นจริงการเตรียมอาหารหวานคาวจะใช้เวลาไม่เท่ากัน อาหารคาวอยู่ได้ไม่นานจึงต้องทำทีหลังขนมหวาน ขนมหวานเก็บไว้ได้นานจึงมักจะทำล่วงหน้าก่อนสองถึงสามวันก่อนจะถึงวันงานจริง เช่นหากงานมี 4 วัน (ไม่นับวันก่อนหน้านี้อีกที่ต้องมีการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ) วันแรกสุดจะเริ่มทำการกวนข้าวเหนียวแดง ซึ่งเป็นขนมที่จะใช้เลี้ยงแขกหรือญาติๆ ที่มาช่วยการเตรียมงาน วันที่สองจะเริ่มทำพวกขนมหวานต่างๆ เช่น ทองหยอด เม็ดขนุน ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ซึ่งเก็บไว้ได้นาน ส่วนวันที่สามจะทำพวกสังขยา และวุ้น รวมทั้งเริ่มปรุงอาหารคาว (แกงต่างๆ) ในวันที่สามนี้ด้วย
ตอนเด็กผู้ใหญ่มักใช้ให้เป็นลูกมือช่วยทำขนม เด็กๆ หลายๆ คนจะถูกเกณฑ์ให้มานั่งปั้นเม็ดขนุน (ถั่วเขียวซีกที่กวนแล้ว) เป็นที่สนุกสนานเพราะปั้นไปก็แอบหยิบใส่ปากไปด้วย5+ ผมเองได้เคยทำหลายหย่าง เช่นการช่วยแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว เพื่อเอาไข่แดงไปทำทองหยอดและฝอยทอง ส่วนไข่ขาวก็จะเอาไปทำสังขยาในวันถัดไป (เข้าใจว่าสังขยาเสีย(บูด)ง่ายเลยต้องเก็บไว้ทำทีหลัง)
ตอนผสมแป้งทองหยอดเข้ากับไข่แดงเขาก็จะใช้เด็กๆ มาช่วยกันกวนผสมแป้ง แต่พอจะดีดแป้งลงกระทะน้ำเชื่อมต้องใช้คนหรือช่างขนมที่มีฝีมือ จำได้ว่าบางคนที่เก่งๆ ใช้แค่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เท่านั้น โดยเขาจะตักแป้งที่ผสมแล้วใส่ถ้วยใบเล็กๆ ประมาณถ้วยข้าวต้ม มือซ้ายจับถ้วยเอียงให้แป้งขนมไหลล้นออกมาตามขอบถ้วย แล้วใช้สองนิ้วของมือขวา (นิ้วชี้และนิ้วกลาง) ปาดรูดแป้งออกมาจากขอบถ้วยแล้วแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือดีดแป้งจากโคนของต้นนิ้วชี้และนิ้วกลางไปยังปลายนิ้วให้ก้อนแป้งตกลงไปที่กระทะน้ำเชื่อมทองเหลืองด้วยความเร็วที่พอเหมาะ (หากใครเป็นคอหนังจีน แล้วรู้จักวิชาดัชนีนพเก้าคงจะเข้าใจที่ผมอธิบาย55+) มันเป็นอะไรที่โคตรเท่ห์เลยครับผมอยากทำบ้างแต่ผู้ใหญ่เขาก็คงไม่เสี่ยงที่จะเสียของจึงได้แต่ดู แต่สำหรับบางคนที่ดีดแป้งด้วยวิธีนี้ไม่เก่งเขาก็จะมีอุปกรณ์ตัวช่วย คือการใช้ด้ามช้อนแกงเป็นตัวช่วย โดยใช้มือจับที่กระบวยช้อนแล้วเหมือนเดิมคือมือซ้ายเอียงถ้วยแป้งจนเอ่อล้นออกมาแล้วเอาด้ามช้อนปาดปริมาณแป้งออกจากถ้วย แล้วใช้หัวนิ้วโป้งดีดรูดแป้งจากร่องของด้ามช้อนไปยังปลายช้อนให้แป้งตกลงไปในกระทะน้ำเชื่อม
ดูเหมือนง่ายนะครับ แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย ความหนืดของแป้งและปริมาณต้องพอเหมาะ แรงดีดและระยะตกลงในกระทะน้ำเชื่อมที่เดือดปุดๆ ก็ต้องพอดี ไม่งั้นรูปทรงของเม็ดทองหยอดจะไม่ได้ขนาดและไม่ดูสวยเป็นหยดน้ำ แต่ตอนนั้นก็ลุ้นให้เกิดของเสียเยอะๆ นะ เพราะช่างขนมเขาจะคัดเม็ดที่ไม่สวยออกแล้วเอามาให้เด็กๆ กินเล่นกัน ส่วนเม็ดที่สวยสมบูรณ์ก็จะถูกคัดลงหม้อขนมและโรยด้วยดอกมะลิเข้าเก็บไว้ในโรงครัวเพื่อไว้จัดสำรับเลี้ยงแขกเหรื่อต่อไป
ขนมต่อมาคือฝอยทอง ขนมตัวนี้ก็ไม่ง่ายต้องทำกรวยใบตองให้มีขนาดรูที่พอดี พอใส่น้ำไข่แดงที่ตีแล้วลงในกรวยแล้ว ระยะปลายกรวยที่น้ำไข่แดงไหลลงในกระทะน้ำเชื่อม และการส่ายสะบัดปลายกรวยก็ต้องพอเหมาะเพราะจะมีผลกับขนาดของเส้นฝอยทอง ที่พูดมานี่ไม่เคยได้ลองทำนะครับ แต่ก็เรียกว่านั่งดูทุกขั้นตอน เพราะผู้ใหญ่จะคอยเรียกให้คอยหยิบโน่นนี่นั่นเป็นลูกมืออยู่แถวๆ นั้นแหละ (อิ่มด้วย)
ส่วนขนมอีกตัวที่ผมทึ่งมากก็คือขนมหม้อแกง เท่าที่ผมเข้าใจเวลาไปเดินหนองมนต์ จะมีขนมหม้อแกงหลายชนิดมาก แต่สำหรับผม ผมแบ่งขนมหม้อแกงออกเป็นสองประเภทคือหม้อแกงแป้ง กับหม้อแกงถั่ว หม้อแกงเดี๋ยวนี้ที่วางขายตามท้องตลาดมักจะเป็นหม้อแกงถั่ว แต่ที่ผมชอบมากกว่าคือหม้อแกงแป้ง (จริงๆ ผมว่าส่วนผสมมันก็เหมือนๆ คล้ายๆ กันน่ะครับ เพียงแต่ว่าสัดส่วนแตกต่างกัน) ณ ตอนนั้นที่เห็นช่างเขาทำ ผมทึ่งตรงที่สมัยนั้นเขาไม่มีเตาอบเหมือนกับสมัยนี้ เวลาเขาเอาส่วนผสมเทใส่ถาดขนมแล้ว เขาจะเอาตั้งบนเตาถ่าน แล้วเอาสังกะสี (อย่างเช่นแผ่นสังกะสีหลังคาบ้านที่ตัดให้ขนาดเล็กลงหน่อย) วางปิดทับลงบนถาดขนมแล้วเอาถ่านไฟสุมลงบนสังกะสีอีกที คือเท่ากับเป็นการอบให้ความร้อนทั้งข้างใต้และด้านบน (หน้าขนม) คือตอนนั้นไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่เป็นเด็กก็โดนสั่งให้นั่งเฝ้าคอยดูไฟ หรือคอยยกสังกะสีที่ปิดหน้าขนมออกเพื่อดูว่าหน้าขนมสุกแล้วหรือยัง มันก็สนุกดีแบบเด็กๆ
ที่เล่ามาเดี๋ยวนี้ผมว่าน้องคนจะได้เคยเห็นขั้นตอนเหล่านั้น เพราะการจัดงานบุญงานแต่งใหญ่ๆ เดี๋ยวนี้นิยมจัดเป็นโต๊ะจีนเสียหมดแล้วซึ่งไม่ต้องมีขนมไทยเป็นส่วนประกอบ (มีแต่เงาะกระป๋อง และขนมชื่อจีนๆ อะไรสักอย่างที่เป็นเผือกกวนและมีเม็ดบัว ผมจำชื่อไม่ได้ ใครนึกออกช่วยบอกที55+) ส่วนขั้นตอนการทำพิธีที่บ้านที่ต้องใช้ขนมไทยก็ซื้อเอานิดหน่อย