ปัจจุบันหากพูดถึงเรื่องการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องมือ, เน็ตเวิร์ค, เครื่องจักร, และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เรามักจะนึกถึงแต่ USB, HDMI หรืออื่นๆ ไม่กี่อย่าง คือหมายความว่าจุดเชื่อมต่อถูกยุบให้มีความหลากหลายน้อยลงเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายไม่ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อน ที่มีช่องเชื่อมต่อหลากหลายแบบ
ช่องเชื่อมต่อหนึ่งที่น่าจะยังพอจำกันได้ก็คือ RS-232 (ที่บางทีมักนิยมเรียกกันว่าพอร์ต COM:1, COM:2) ซึ่งสมัยก่อนหากเป็นงานในออฟฟิตสำนักงานก็มักใช้สำหรับเชื่อมต่อกับพวกปริ้นเตอร์ (แบบ Serial), เครื่องอ่านบาร์โค๊ด (รุ่นเก่าๆ) ส่วนหากใครเป็นช่างหรือวิศวกรในโรงงานอุตสาหกรรม จะพบว่าช่องต่อ RS-232 นี้มีความสำคัญและถูกนำไปใช้งานอย่างมากแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังค่อนข้างมีความจำเป็นอยู่
สมัยผมทำงานโรงงาน เครื่องจักรสำคัญๆ แทบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Test Instrument, Auto Insertion, Injection, SMD machine หรือราคาไม่กี่หมื่นจนเครื่องจักรราคาเป็นสิบล้านก็ต้องใช้ RS-232 เป็นช่องทางในการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น
แต่กว่าสิบปีที่ผ่านมานี้ (หรืออาจจะ 20 ปีก็ได้แล้วมั๊ง5+) เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ไม่ได้มีช่อง RS-232 มาให้ หรือหากจะมีมาให้ก็จะเป็นการ์ดเสียบที่ต้องสั่งเพิ่มเติม (ไม่ได้ Onboard กับ Mainboard ของเครื่องคอมพิวเตอร์) และยิ่งปัจจุบันนี้การ์ด RS-232 ก็ค่อนข้างหาซื้อได้ยากแล้ว หากยังจำเป็นจะต้องใช้จริงๆ ก็นิยมซื้ออุปกรณ์ที่เป็นตัวแปลงจาก USB เป็น RS-232 ซึ่งมีทั้งที่เป็นโมดูลแผงวงจรเล็กๆ และที่เป็นสายเคเบิ้ล (มีแผงวงจรขนาดเล็กซ่อนอยู่ในหัวคอนเน็คเตอร์) แต่ก็ต้องระวังเรื่องคุณภาพของมันด้วย (ของถูกๆ บางทีซื้อมาก็ใช้งานไม่ได้) และก็ต้องมีความรู้ทางด้านเทคนิคการต่อใช้งานพอสมควร เพราะบางทีโปรแกรมวินโดว์มองไม่เห็นตัวอุปกรณ์ ต้องมีการติดตั้งหรืออัพเดทไดรเวอร์ด้วย แต่หากใครยังเล่นพวกไมโครคอนโทรลเลอร์หรืออุปกรณ์ IoT เช่นบอร์ด Arduino, ESP, Nucleo, Etc. ก็จะยังต้องคุ้นเคยกับมัน เพระการเชื่อมต่อยังต้องมีการแปลงจาก USB เป็น RS-232 อยู่ดี คือเรียกว่าเหมือนกับว่า RS-232 นี้กำลังจะหายไปจากโลกนี้ แล้วอยู่ๆ มันก็กลับมาแพร่หลายอีกครั้งแต่ทว่าอยู่ในวงจำกัด
แล้วที่พูดมามันเกี่ยวอะไรกับ RS-485?
RS-485 เป็นการพัฒนาที่ต่อยอดมาจาก RS-232 และมาเป็น RS-422 จึงค่อยมาเป็น RS-485 เนื่องจาก RS-232 มีข้อด้อยเรื่องของระยะทางและจำนวนอุปกรณ์ที่จำกัด (หากจำไม่ผิดตามเสป็คต่อได้ไกลไม่เกิน 50-100 ฟุตมั๊งครับ แต่จากประสบการณ์ของผมที่ใช้งานจริง ต่อเต็มที่สักสิบเมตรก็ต้องปรับลดความเร็วให้ต่ำลงไม่กี่พัน bps แล้ว)
ส่วน RS-485 นั้นเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่ออีกรูปแบบหนึ่งที่พัฒนาต่อมาจาก RS-422 โดยที่ความเร็วและระยะทางในการรับส่งข้อมูลเท่ากับระบบของ RS-422 แต่เพิ่มความสามารถในการรองรับอุปกรณ์บนระบบบัสได้มากขึ้น โดยบัสของ RS-485 สามารถเพิ่มจำนวนตัวรับและตัวส่งได้อย่างน้อยอย่างละ 32 ตัว และมีระยะทางได้ไกลถึง 1,200 เมตร และความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 10 Mbps แต่ในการนำมาใช้งานก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับ RS-232 ที่เซ็ทตั้งค่าไม่กี่ตัวแปรก็สั่งงานได้แล้ว ส่วน RS-485 ต้องเขียนโปรแกรมควบคุมมันเป็นพิเศษ คือต้องรู้ตั้งแต่ตอนออกแบบระบบโดยรวมว่าเป็นอย่างไร และเขียนโปรแกรมรองรับสั่งงานมันขึ้นมา
ระบบการสื่อสาร RS-485 นี้มักนิยมเอาไปใช้งานในวงการอุตสาหกรรม เช่นการเชื่อมต่อระยะไกลระหว่างคอมพิวเตอร์กับเครื่องจักรต่างๆ หรืออย่าง PLC เป็นต้น หากใกล้ตัวหน่อยที่เห็นๆ ก็อย่างพวกป้ายไฟตามท้องถนนหรือในอาคาร ลานจอดรถ พวกระบบบัตรคิว ฯลฯ
ระบบการสื่อสาร RS-485 นี้ (รวมถึง RS-422 ด้วย) เอาจริงๆ จากประสบการณ์ที่ทำงานมากว่า 30 ปีผมไม่เคยได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ วันๆ ที่อยู่กับการดูแลเครื่องจักรและเครื่องมือทดสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการติดตั้งหรือการบำรุงรักษา ความรู้ในการใช้งาน RS-232 เป็นสิ่งจำเป็นไม่ใช่แค่รู้จักว่าสายต่อหรือสาย Cable ของ RS-232 หน้าตาเป็นอย่างไรและก็แค่จับมันมาเสียบได้เสียบเป็นเท่านั้น ตอนที่ผมทำงานความที่ต้องอยู่กันมันบ่อยมาก ผมสามารถจำขาสัญญานของหัวต่อไม่ว่าจะเป็น DB9 หรือ DB24 และสามารถบัดกรีเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเปิด Diagram การต่อสายสัญญานดูเลย (แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้ว55+)
สำหรับ RS-485 นี้ได้แต่ศึกษาจากในหนังสือ (เดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายเพราะมี YouTube ให้เข้าไปดูหาความรู็ได้ง่ายกว่าแต่ก่อน) เคยซื้อพวกไมโครคอนโทรลเลอร์บอร์ดมาเล่นและมี Option สำหรับใส่ IC ที่ใช้รับส่ง RS-485 มาให้ แต่ก็ไม่เคยได้ลองเล่นกับมันสักที หากวันใดมีโอกาสจะนำมาเขียนเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ