ผมไม่ใช่นักบัญชีแต่ก็เคยได้เรียนบัญชีมาสมัยเรียน ป.ตรี การจัดการอุตสาหกรรม เรียนบัญชีมา 4 ตัว บัญชีตัวสุดท้ายคือบัญชีบริหาร เรียนมามากมายแต่เมื่อในหน้าที่การทำงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ลืมและส่งคืนอาจารย์หมด จนเมื่อการงานที่ทำต้องมีความเกี่ยวข้องกับเงินๆทองๆ ของบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเรียนก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความทรงจำ และทำให้ต้องกลับไปค้นหาความรู้เดิมกลับขึ้นมาใช้งาน
เวลาได้ยินคนพูดว่าค้าขายดีมีกำไรแต่ไม่เหลือเงินสดอยู่ในมือ สำหรับผมคนไม่เคยทำธุรกิจเวลาได้ยินเขาพูดก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร เพราะประสบการณ์ในการทำงานมากว่า 30ปี ส่วนใหญ่ก็จะสาละวนอยู่กับงานด้านเทคนิคอลเสียเป็นส่วนใหญ่

อยู่มาวันหนึ่งเมื่อต้องมาบริหารงานให้กับบริษัท Sub-Contact เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีเงินลงทุนสักระดับสิบล้านโดยประมาณ และต้องมารับรู้รายรับรายจ่ายของบริษัท วันดีคืนดีเงินในบริษัทไม่พอใช้จ่ายก็ต้องวิ่งโร่ไปขอให้ลูกค้าชำระเงินค่าสินค้าให้เร็วกว่ากำหนด (บ่อย5+) บางเดือนก็หนักถึงขนาดต้องควักเงินตัวเองเป็นแสนเพื่อจ่ายเงินเดือนให้พนักงานไปก่อน ทำให้เริ่มสงสัยว่าจริงๆ แล้วบริษัทค้าขายมีกำไรหรือไม่ หากมีกำไรแล้วกำไรหายไปไหนหมด และหากไม่มีทำไมเจ้าของเขายังทนทำมันมากว่าสิบปี (ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม คือชักหน้าไม่ถึงหลัง) หรือว่าเจ้าของเขาจงใจเล่นแร่แปรธาตุให้ผลประกอบการมันลุ่มๆ ดอนๆ ไปแบบนี้?
พอต่อมาได้มาทำงานให้กับบริษัทอื่นที่ใช้เงินลงทุนระดับร้อยล้าน ก็ยังเจอปัญหาเรื่องการเงินแบบชักหน้าไม่ถึงหลังคล้ายๆ กัน ซึ่งตอนนี้ผมต้องมาดูแลและรับรู้การเงินและระบบการทำบัญชีของบริษัทด้วย ต้องติดต่อพูดคุยกับสถาบันการเงินเพื่อขอเงินกู้และต้องสามารถอธิบายที่ไปที่มาของเงินที่ไหลเวียนเข้าออกในบริษัทได้
ทำให้เริ่มเข้าใจคำว่า “ค้าขายดีมีกำไรแต่ไม่เหลือเงินสด” ชัดเจนมากขึ้น ผลประกอบการของบริษัทเมื่อดูจากงบการเงินมีกำไรปีละประมาณยี่สิบกว่าล้านได้ แต่กลับมีเงินสดในธนาคารแค่สามสี่ล้าน ผมเริ่มสงสัยว่าแล้วกำไรที่แท้จริงมันหายไปอยู่ที่ไหน จนต้องไปเปิดตำราเรียนเก่าๆ รวมทั้งหนังสือด้านบริหารและการเงินต่างๆ ที่ชอบซื้อเก็บสะสมไว้ออกมาอ่านจึงทำให้เข้าใจ
บริษัทที่มีผลประกอบการดูดีมีกำไร แต่อาจจะไม่มีเงินสดหรือเงินฝากอยู่ในบัญชีก็ได้ เพราะมีการนำเงินสดไปใช้อื่นๆ ซึ่งมีสามประเภท
- ขายเงินเชื่อ (ลูกหนี้การค้า) หรือก็คือการขายเครดิต ซึ่งทางบัญชีได้บันทึกผลกำไรไปแล้ว แต่ว่าในความเป็นจริงยังไม่ได้รับเงินจากลูกค้า หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเงินจมอยู่ที่ลูกค้า
- สินค้าคงคลัง คือสินค้าสำเร็จรูปและรวมทั้งวัตถุดิบที่ยังไม่ได้นำไปผลิต ทำให้เงินสดไปจมอยู่กับมัน
- ทุนที่ลงในกิจการทั้งหมด (เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ) คือการที่บริษัทลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ และต้องมีการคิดค่าใช้จ่ายเป็นค่าเสื่อมราคาในระยะยาว ทำให้กำไรของบริษัทลดลง
ฟังดูหากมีพื้นฐานทางบัญชีเพียงน้อยนิดก็ไม่ยากที่จะเข้าใจมัน ประเด็นสำคัญคือถึงจะเข้าใจแต่ก็อาจจะไม่จดไม่จำหากไม่ได้คลุกคลีหรือเจอเข้ากับตัว ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่บริษัทถึงแม้ว่าจะค้าขายดีมีกำไรแต่ก็อาจล้มละลายได้ เพราะสาเหตุของเงินจมทั้ง 3 สาเหตุที่กล่าวมานี้เสมือนกับว่ามี “แมงกินเงิน 3 ตัว” อาศัยอยู่ในบริษัท ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันทำให้จำได้ง่ายขึ้นใจดี
เหตุการณ์ที่เจอมากับตัวนี้ทำให้บริษัทต้องคิดหนักว่าจะกู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนดีหรือไม่ แต่ก็ต้องแลกกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และยังรวมถึงปัจจัยสภาวะเศรฐกิจภายนอกที่มีความผันผวน ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่งั้นหากกู้เงินมาเพิ่มและไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ อาจทำให้กลายเป็นเบี้ยหัวแตกและทำให้บริษัทล้มละลายได้
(ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ How to understand Business Finance)