คำว่า “โกงภาษี” ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่และรุนแรงและที่สำคัญคือความหมายคลุมเครือไม่ชัดเจนในรายละเอียด เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้พิพากษาผู้กระทำไปแล้วว่าเป็นคนเลวโดยไม่สนใจจะศึกษาในรายละเอียดที่ไปที่มา แต่หากเปลี่ยนคำเสียใหม่เป็นคำตามภาษาราชการที่ว่า “ทุจริตภาษีอากร” ผมว่ามันดูดีกว่าเยอะ เพราะทำให้คนที่ได้ยินหรือได้อ่านไม่ตกใจ และก็จะเกิดคำถามที่อยากรู้คำตอบต่อไปว่าภาษีที่ทุจริตนั้นเป็นภาษีประเภทใด และเขาทุจริตอย่างไร เพราะในโลกของการทำธุรกิจมีภาษีหลากหลายประเภท ภาษีบางประเภทรัฐบาลก็ออกกฏหมายเพื่อชี้ช่องทางให้ผู้ทำธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปได้เสียภาษีน้อยลงเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้จ่ายภาษีซึ่งเราเรียกว่า “ลดหย่อนภาษี” และมีแนวทางเพื่อจะให้ได้ลดหย่อนได้หลายวิธีการ
ซึ่งก็ไม่ผิดสำหรับผู้ที่ต้องจ่ายภาษีที่ต้องพยายามหาช่องทางให้จ่ายภาษีได้น้อยที่สุดโดยไม่ผิดกฏกติกาที่หน่วยงานรัฐวางไว้ แต่บางครั้งเมื่อมากเกินขอบเขตที่หน่วยงานรัฐวางไว้ก็กลายเป็นความผิด และความผิดนั้นก็มีหลายระดับแต่ก็แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ การหลีกเลี่ยงภาษีอากร และ การโกงภาษีอากร
ตัวอย่างหนึ่งที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาอ่านข่าวคือเรื่องการซื้อขายบิล VAT ซึ่งก็เข้าใจแบบเผินๆ ว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่ผิดอย่างไรในแง่ของการบัญชีผมไม่เข้าใจและก็ไม่ได้สนใจที่อยากจะรู้ เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ไม่ได้อยู่ในส่วนนั้น แต่ก็มักเกิดคำถามขึ้นในใจทุกครั้งเมื่อต้องได้ไปซื้อสินค้าแล้วผู้ขายมักจะถามว่าเอาบิล VAT หรือไม่ หากเราบอกว่าเอาเขาก็จะคิดเงินค่าสินค้าโดยบวก VAT เข้าไปอีก 7% แน่นอนคนส่วนใหญ่ก็เลยจะบอกว่างั้นไม่เอาบิล VAT อย่างมากขอเป็นบิลเงินสดธรรมดาก็พอ แล้วก็จบกัน
แต่มาวันหนึ่งได้เจอกับการทำงานจริงใกล้ตัวเรื่องการ “ซื้อบิล VAT” ทำให้เข้าใจเหตุและผล และมุมมองของผู้ทำธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นจึงนำมาเล่าให้ฟัง
บริษัทที่ผมเคยทำงานด้วยจดทะเบียนอยู่ในระบบ VAT ดังนั้นแต่ละเดือนจะต้องทำรายงานภาษีซื้อขายและนำส่ง VAT (VAT ขาย – VAT ซื้อ = ส่วนต่างที่ต้องนำส่งสรรพากร) แต่ละเดือนบริษัทมียอดขายหลายแสนบาท แต่ปัญหาคือว่าบริษัทมีแต่ยอด VAT ฝั่งขายแต่ไม่มียอด VAT ฝั่งซื้อ เนื่องจากธุรกิจของบริษัทเป็นโรงงานที่รับจ้างประกอบ (Sub-Contract) ส่วนประกอบให้กับโรงงานอื่นๆ อีกทีหนึ่ง และวัตถุดิบที่นำมาใช้ก็ถูกส่งมาจากผู้จ้างประกอบเป็นหลักโดยที่บริษัทไม่ต้องซื้อวัตถุดิบเหล่านั้นเอง แต่ก็มีวัตถุดิบบางส่วนที่บริษัทต้องซื้อเองบ้างเป็นส่วนน้อย สรุปก็คือรายได้หลักของบริษัทเป็นการรับจ้างประกอบชิ้นงาน หรือในทางบัญชีเขาเรียกว่า งานจ้างทำ (ผู้ว่าจ้างส่งวัตถุดิบให้)
เลยทำให้ในแต่ละเดือนบริษัทต้องนำส่งมูลค่า VAT ให้กับสรรพากรเป็นจำนวนมาก
แต่ในความเป็นจริงบริษัทที่เป็นผู้ว่าจ้างงานก็ไม่ได้ส่งวัตถุดิบให้ทั้งหมด 100% บริษัทต้องไปสั่งซื้อ และว่าจ้างบริษัทอื่นทำงานให้ด้วยอีกทอดหนึ่งเช่นกัน
เผอิญว่าบริษัทที่รับงานจากบริษัทผมไปทำอีกทอดหนึ่งสภาวะทางการเงินที่ไม่ค่อยดีนัก (รายรับไม่พอรายจ่าย) และต้องมีการมายืมเงินจากบริษัทที่ผมทำอยู่เรื่อยๆ (ขอเบิกเงินล่วงหน้าไปใช้ก่อน แล้วค่อยทยอยทำงานชดใช้ตามมาทีหลัง) แต่นานเข้าก็ไม่สามารถทำงานชดใช้เพื่อกลบยอดหนี้ได้ จนกลายเป็นติดหนี้แบบดินพอกหางหมู (งานที่ผมจะส่งให้ก็ไม่ได้มากขนาดที่เขาจะเดินเครื่องจักรได้เต็มกำลังการผลิต) ทีนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร?
วิธีการก็เลยกลายเป็นว่า บริษัทที่ติดหนี้ได้ทำการออกบิลขายซึ่งมีมูลค่า VAT เท่ากับจำนวนยอดที่เป็นหนี้กันให้กับบริษัทที่ผมทำงาน เพื่อนำยอด VAT นี้มาเป็นยอด VAT ซื้อ เพื่อไปลดยอด VAT ขาย แล้วนำส่งสรรพากร เพื่อเป็นการลดภาระการนำส่งภาษีได้บ้างเล็กน้อย
ส่วนของบริษัทลูกค้าผู้ออก VAT ขายที่มูลค่าเกินกว่าความเป็นจริงให้ ผมไม่ทราบว่าเขาได้เอาไปทำรายการทางด้านบัญชีอย่างไร แต่ในเวลาอีกไม่นานบริษัทนั้นก็เจ๊งไปเพราะมีหนี้สินมากมาย จนธนาคารมายึดทรัพย์ทั้งหมดและขายทอดตลาดไป
จากเหตุการนี้เอง เลยทำให้ผมเข้าใจเรื่องการซื้อขาย VAT มากขึ้น แต่สิ่งที่เข้าใจมากกว่าการซื้อขายเอกสาร VAT ผมกลับเข้าใจว่าแต่ละฝ่ายกลับมีเหตุผลความจำเป็นที่แตกต่างกัน หากมองในมุมของสรรพากร ก็ควรจะมองว่านี่ไม่ใช่การโกงภาษี แต่เป็นการทุจริตเลี่ยงภาษีอากร ส่วนทางฝั่งผมก็เป็นการลดรายจ่าย (หนี้สูญ) โดยโยกรายจ่ายจากเงินที่อีกบริษัทยืมไป (ค่าจ้างประกอบชิ้นงานที่จ่ายไปล่วงหน้าแล้วไม่อาจจะได้คืน) มาเป็นการลดหย่อนด้านภาษีที่ต้องจ่ายให้กับหน่วยงานราชการ ส่วนฝั่งด้านบริษัทที่เขาเป็นลุกหนี้ฝั่งผม การที่เขาออกเอกสาร VAT ขายที่มูลค่าเกินความเป็นจริงก็ทำให้เขาต้องนำส่งภาษีมากขึ้น แต่เขาจะไปเล่นแร่แปลธาตุต่ออย่างไรอันนั้นผมไม่ทราบ (แต่สุดท้ายเจ๊งไปเสียก่อน5+)