เมื่อก่อนคิดว่าเรื่องวิชาการบัญชีเป็นสิ่งที่ง่ายๆ มีแต่บวกลบคูณหาร ไม่น่ามีอะไรยากกว่าการเรียนสายวิศวกรรมที่ต้องมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ชั้นสูง ตอนผมจบปวส.อิเล็กทรอนิกส์ แล้วทำงานและลงเรียน ป.ตรี ภาคค่ำไปด้วยทางสาขาการจัดการอุตสาหกรรม ต้องมีลงเรียนวิชาบัญชีอยู่ 4 ตัว และตัวสุดท้ายคือบัญชีบริหาร
ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าความรู้เรื่องการบัญชีว่าแบ่งชนิดประเภทออกไปหลายแขนง แต่เท่าที่ผมพอจะต้องรู้จากหลักสูตรการเรียนก็มี 3 แขนงคือ
- บัญชีการเงิน (Financial Accounting) ซึ่งทำหน้าที่จัดเก็บรวบรวม จำแนก และรายงานข้อมูลทางการเงินที่เกิดขึ้นในอดีตของกิจการให้แก่ผู้บริหารและบุคคลภายนอก เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งต้องมีรูปแบบที่เป็นไปตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ
- บัญชีบริหาร (Management Accounting) เป็นกระบวนการบัญชีเพื่อวิเคราะห์ จัดเตรียม ตีความ เพื่อให้ผู้บริหารนำข้อมูลไปใช้เพื่อการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ ของกิจการ ซึ่งรูปแบบหรือการจัดเตรียมข้อมูลมีความยืดหยุ่นไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามมาตรฐานหลักการทางบัญชี
- บัญชีต้นทุน (Cost Accounting) เป็นกระบวนการจดบันทึกและรายงานข้อมูลต้นทุนของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ทั้งในลักษณะภาพรวม หรือรายละเอียด โดยวิธีการรับรู้ รวบรวม จำแนก วิเคราะห์และเปรียบเทียบ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คล้ายๆ กันกับการบัญชีบริหาร แต่จะมีประเด็นสำคัญที่แตกต่างกันบ้างก็คือ การบัญชีต้นทุนจะเน้นที่การสะสมข้อมูลต้นทุนเพื่อการกำหนดต้นทุนของผลิตภัณฑ์ การตีราคาสินค้าคงคลังและการคำนวนผลการดำเนินงาน ในขณะที่การบัญชีบริหารจะเน้นที่การใช้ข้อมูลทางด้านต้นทุนเพื่อการวางแผน การควบคุมและตัดสินใจ
จากทั้งสามหัวข้อที่เรียนผ่านมาอย่างทุลักทุเล (เด็กช่างมาเรียนบัญชี คงจะมีคนชอบหรอกมั๊ง5+) สิบกว่าปีผ่านมายังแทบจะไม่เคยนำมันมาใช้ในการทำงาน แต่ก็พอจะทำให้ไปคุยกับเพื่อนร่วมงานต่างแผนกที่อยู่ฝ่ายบัญชีแล้วทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบายอะไรๆ ต่างๆ ที่เกี่ยวกับในงานที่ทำได้ง่ายขึ้น (โดยไม่โต้แย้งในใจ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องความจำเป็นที่ต้องมีการเช็คสต๊อคประจำปีในโรงงานว่ามันจำเป็นอย่างไร (เป็นงานที่น่าเบื่อมาก เพราะโดนเป็นหัวหน้าทีมในการตรวจ Approve รายการวัตถุดิบทุกปี (จำนวนรายการวัตถุดิบที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีเป็นพันรายการ)) คนที่โดนสั่งให้ทำก็โดนกับคนเดิมๆ พวกหัวหน้า หรือ ผจก.ไม่เคยจะลงมาลุยด้หน้างานด้วย นานๆ ถึงจะเดินมาให้กำลังใจ นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เข้าไปนั่งโต๊ะทำงานห้องแอร์ ขอบ่นหน่อย55+)
สำหรับผมพอทำงานมาจนนานวันและต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นก็ทำให้ต้องมีส่วนเข้ามาพัวพันกับงานด้านบัญชี แต่แน่นอนเพราะเราไม่ได้เรียนจบมาเป็นนักบัญชี ดังนั้นจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องลงไปนั่งทำบัญชีเองเหมือนเจ้าหน้าที่ที่เขาเรียนมาและเข้ามาทำงานตำแหน่งนั้นๆ โดยตรง
แต่เรื่องของการบัญชีบริหารต่างหากที่มันจะเริ่มเข้ามวนเวียนให้เราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อนำมาตัดสินใจหรือแสดงความคิดเห็นกับผู้บริหาร อาศัยที่ว่ามีพื้นฐานที่เรียนมาบ้าง ดังนั้นเมื่อต้องพูดคุยกับใครก็เลยทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น
ส่วนเรื่องการบัญชีต้นทุน ผมว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวผมมาก ตอนเรียนบอกได้เลยว่าตอนที่เขาสอนแยกเป็นหัวข้อๆ ประเภทของต้นทุนก็ดูเหมือนจะไม่เห็นมีอะไรยาก แต่พอเจอโจทย์เพื่อให้ทำการวิเคราะห์ปัญหา ทำไม่เสร็จสมบูรณ์สักข้อ5+ แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเมื่อทำงานคงไม่ได้เจอะเจอกับมันหรอก จนมาวันหนึ่งก็หนีมันไม่พ้นจนได้ หลายๆ ครั้งที่มีน้องๆ พนักงานพูดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาให้ผมต้องคิดและมีคำถามในใจ บางคำถามถามคนที่เป็นเจ้าหน้าที่บัญชีเองก็ยังตอบผมไม่ได้ (อาจจะเพราะถามผิดคน5+) หรือจะหาคำตอบจากอาจารย์กู๋ก็ยังไม่เจอคำตอบที่เครียร์ได้ชัดเจน สุดท้ายก็เลยต้องกลับไปเปิดตำราเก่าๆ ที่ครูอาจารย์เคยสอนมา
ความสงสัยของผมก็คือว่าหากองค์กรที่ไม่สนใจกับเรื่องการวิเคราะห์และนำเสนอต้นทุนแล้วมันจะส่งผลอะไรกับองค์กร (ผจก.บัญชีเขาอาจจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ในภาพรวมใหญ่อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่เขาอาจจะไม่ได้มาบอกเล่าให้เรารู้ก็ได้เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวหรือไม่จำเป็น)
ผมเลยจะผยายามหาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเองจึงเขียนเป็นบทความนี้ขึ้นมา แต่คาดว่าคงจะยังไม่ได้คำตอบในตอนท้ายของบทความนี้ (เพราะขี้เกียจพิมพ์ละ จะไปทำธุระอื่น) แต่ก็จะทยอยๆ เอามาลงต่อในคราวต่อๆ ไปนะครับ สำหรับตอนนี้เอาหลักการที่เขาจำแนกประเภทของต้นทุนตามตำราที่เรียนๆ กันมาก่อน
คำว่า “ต้นทุน (Cost) ” ในทางบัญชีการเงิน (Financial Accounting) หมายถึงการวัดค่าของจำนวนทรัพยากรที่ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมใดๆ อย่างหนึ่ง โดยการวัดค่าจะถูกกำหนดออกมาเป็นตัวเงิน
ส่วนในทางบัญชีบริหาร (Managerial Accounting) คำว่า “ต้นทุน” ได้ถูกกำหนดขึ้นในความหมายต่างๆ มากมายหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ของผู้บริหาร เพื่อนำไปใช้กับการวางแผนและตัดสินใจ
การจำแนกประเภทต้นทุนในทางบัญชีบริหาร สามารถจำแนกได้หลายประเภท ดังนี้
- จำแนกตามหน้าที่
1.1 ต้นทุนการผลิต (Manufacturing Costs)
1.2 ต้นทุนที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต (Nonmanufacturing Costs)
- จำแนกตามความสามารถในการกำหนดต้นทุนของหน่วยต้นทุน
2.1 ต้นทุนทางตรง (Direct Costs)
2.2 ต้นทุนทางอ้อม (Indirect Costs)
- จำแนกตามความสัมพันธ์กับรายได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
3.1 ต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Costs)
3.2 ต้นทุนงวดเวลา (Period Costs)
- จำแนกตามพฤติกรรมของต้นทุน
4.1 ต้นทุนผันแปร (Variable Costs)
4.2 ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs)
4.3 ต้นทุนกึ่งผันแปรหรือต้นทุนผสม (Semi Variable Costs or Mixed Costs)
- จำแนกตามความเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ
5.1 ต้นทุนที่ควบคุมได้และต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ (Controllable and Noncontrollable costs)
5.2 ต้นทุนมาตรฐาน (Standard Costs)
5.3 ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Incremental Costs)
5.4 ต้นทุนจม (Sunk Costs)
5.5 ต้นทุนเสียโอกาส (Opportunity Costs)
5.6 ต้นทุนที่เกี่ยวข้อง (Relevant Costs)
จากทั้ง 5 หัวข้อที่ผมกล่าวมา (เอามาจากตำราเรียนเก่าๆ ที่ยังเก็บไว้ ตำราเล่มอื่นๆ ทางบัญชีอาจจะแบ่งไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้) คำถามในใจที่มีมานานและก็ยังไม่เจอคำตอบที่ทำให้กระจ่างแจ้งก็คือว่า ในธุรกิจหรือองค์กรหนึ่งๆ หากต้องการแบ่งประเภทของต้นทุนต่างๆ แล้วนั้น เขาควรจะแบ่งอย่างไรจึงจะเหมาะสม เช่นหากเลือกจัดแบ่งประเภทตามหน้าที่ ซึ่งมันอาจจะไม่เหมาะกับลักษณะของสินค้าหรือบริการของกิจการ ดังนั้นผู้บริหารที่นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เพื่อวางแผนและตัดสินใจ อาจจะได้ผลที่ไม่เครียร์พอ หรือหากจะแบ่งประเภทแบบข้ามกลุ่มผสมไปมาจะผลิดหลักการหรือเกิดผลอย่างไรหรือไม่ คือผมคิดว่าจะแบ่งประเภทหรือจับคู่อย่างไรก้อได้ เพราะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำข้อมูลไปใช้มากกว่า หากใครที่ผ่านและมีความคิดเห็นอย่างไรก็ฝากแนะนำด้วยครับ
ขอจบแค่นี้ก่อน ไว้จะมาอัพเดทเพิ่มเติมวันหลังครับ