ผมจำวันเวลาแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ว่าครั้งแรกที่มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศเมื่อไหร่ แต่พอจะจำปีได้ก็น่าจะประมาณ 1990 (2533) เลยอยากเอาประสบการณ์ครั้งแรกของการได้ไปต่างประเทศมาเล่าให้ฟังขำๆ
ในชีวิตจนปัจจุบันมีโอกาสเดินทางไป ตปท. มาก็สักสิบครั้งได้ ประเทศที่ไปมาก็มี เกาหลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงค์โปร, ฟิลิปปินส์, อเมริกา, พม่า และประเทศลาว ในทุกๆ ประเทศที่ได้ไปมาเกือบทั้งหมดคือไปทำงาน หรือถูกส่งไปฝึกงาน ยกเว้นพม่าประเทศเดียวที่ได้เหยียบข้ามไปเที่ยวแบบแป๊บๆ
เกาหลีเป็นประเทศแรกที่ได้มีโอกาสไปเยือนมาและไปมาหลายครั้ง เนื่องจากพอเรียนจบก็ได้เข้าทำงานโรงงานของเกาหลีที่มาเปิดทำการผลิตอุปกรณ์สื่อสารในประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อว่า GoldStar
คนยุคหลังๆ อาจจะรู้จักเกาประเทศเกาหลีหรืออาจจะเรียกว่าความบูมของประเทศเกาหลีในสายตาของคนไทยก็จากนักร้องหรือละคร โดยเฉพาะเรื่องแดจังกึม ซึ่งโด่งดังมาก ณ.ตอนนั้น
แต่สำหรับผม ผมเริ่มรู้จักเกาหลีตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ภาพจำของผมมีสองสิ่งซึ่งได้จากการดูข่าวต่างประเทศในสมัยนั้น สิ่งแรกคือประเทศเกาหลีกำลังจะเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งกีฬาโอลิมปิคของปี 1988 จึงมีการประโคมข่าวออกทางสื่อทีวีอยู่บ่อยๆ และอีกสิ่งหนึ่งคือข่าวการชุมนุมประท้วงของประชาชนหรือแรงงานในเกาหลีซึ่งมีขึ้นบ่อยมากและเป็นข่าว จนมันกลายเป็นภาพจำของผม
จนเมื่อผมเรียนจบ ปวส.ในปี 1989 และได้ทำงานกับโรงงานเกาหลีที่ชื่อ GoldStar และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น LG หลังจากทำงานได้กว่า 1 ปี จึงได้ถูกส่งไปดูงานที่โรงงานแม่ที่เมือง Anyung หากจำไม่ผิดน่าจะเป็นเวลาสองอาทิตย์ได้ (โรงงาน LG ในเกาหลีมีหลายแห่งมาก แต่โรงงานแม่ของที่ผมทำงานอยู่ในเมือง Anyung)
ความรู้สึกตอนนั้นกับการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกสำหรับผมมันตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ภาษาอังกฤษก็แทบจะพูดไม่ได้เลยสักคำเดียว แต่ก็ยังโชคดีที่การไปในครั้งนั้นเขาส่งไปกันสามคนมี Engineer, Supervisor, และผมซึ่งตอนนั้นเป็น Technician ตัวกระเปี๊ยกๆ แต่อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่าไปกับคนที่ตำแหน่งสูงกว่าและมีความสามารถมากกว่ายังไงเขาก็ต้องช่วยเหลือเรา
สมัยนั้นหากจะต้องศึกษาการไปต่างๆประเทศว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร มันยังไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เข้าไปเปิดหาข้อมูลอ่านได้เหมือนสมัยนี้นะครับ ต้องไปเดินหาซื้อหนังสือตามร้านหนังสือมาอ่านเอา ในหนังสือเขาจะให้ข้อมูลว่าขั้นตอนต่างๆ ในสนามบินเป็นอย่างไรต้องเจอกับอะไรบ้าง ตม.จะถามคำถามอะไร และต้องตอบอย่างไร และอีกเล่มที่ต้องซื้อมาอ่านก็คือหนังสือสอนภาษาอังกฤษสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะสอนพวกประโยคที่ต้องใช้ต้องเจอในสถานการณ์ต่างๆ ของพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องพกติดกระเป๋ากันเลย5+
การเดินทางครั้งแรกของผมก็เจอเรื่องตื่นเต้นแย่ๆ เซ็งๆ เปรียบไปก็เหมือนกับหมาหงอย คือกล้าๆ กลัวๆ ทำไรไม่ถูก เจอปัญหาจุกจิกไปเรื่อย เช่น ก่อนออกจากสนามบินดอนเมืองก็โดนกักตัวข้อหาประมาณว่าจะไปทำงานเกาหลีแบบผิดกฏหมาย (ทั้งๆ ที่มีหนังสือรับรองที่ออกให้โดยบริษัทว่าเป็นการไปดูงาน) พอเดินทางถึงสนามบินคิมโปที่เกาหลี (สนามบินเก่าก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นอินชอนในปัจจุบัน) ก็โดน ตม.เขากักตัว ไม่ว่าจะทั้งขาไปและขากลับ (บุคลิคผมคงเหมือนพวกหนีเข้าเมืองอย่างแรง55+) หากเป็นสมัยนี้คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่าพวกผีน้อยแบบนั้นมั๊งครับ
แต่ความประทับใจก็มีด้วยเช่นกัน ทางโรงงานเขาต้อนรับขับสู้พวกผมดีมากและพนักงานที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือทำงานด้วยก็ให้ความช่วยเหลือและเป็นกันเองทำให้ไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่ สิ่งที่เสียความรู้สึกกลับเป็นพี่ๆ ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันมากกว่า เพราะเขาก็คงรำคาญที่เวลานั่งเรียนแล้วผู้สอนเขาสอนเป็นภาษาอังกฤษและผมฟังเขาไม่รู้เรื่องเลย คอยแต่จะสะกิดให้คนข้างๆ ช่วยแปลให้แทบจะทุกประโยค จนบางครั้งเขาได้แค่หันมามองหน้าแล้วก็หันกลับไปฟังผู้สอนโดยไม่แยแสผมเลย ความรู้สึกตอนนั้นมันเครียดจนน้ำตาแทบไหลเหมือนโดนทอดทิ้ง55+
แต่ด้วยความกดดันนั้นแหละมันเป็นแรงผลักดันให้ผมสัญญากับตัวเองว่าเมื่อผมกลับเมืองไทยแล้วผมจะต้องเก่งภาษาอังกฤษให้ได้ (แต่ผ่านมา30ปีละก็ไม่เก่งซักที5+) ผมไปลงเรียนภาษาหลังจากเลิกงานบ้าง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านและศึกษาด้วยตัวเอง และภาษาผมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ถึงกับจะเรียกว่าคล่องแคล่ว แต่ก็สามารถสื่อสารกับต่างชาติได้ ประกอบกับหลังจากประสบการณ์การเดินทางในครั้งนั้น ผมได้มีถูกส่งไปดูงานหรือแก้ปัญหางานให้กับลูกค้าใน ตปท.อีกหลายๆ ประเทศ และเป็นการเดินทางแบบคนเดียวตลอด และในแต่ละครั้งของการเดินทางก็จะเจอความกดดัน เจอเรื่องเปิ่นๆ และอายๆ แทบจะทุกประเทศที่ไปมา ทุกครั้งที่เมื่อเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ที่ทำงานฟังกันมันกลายเป็นเรื่องขำกันขี้แตกขี้แตน55+ แต่สำหรับผมมันเป็นแรงใจให้ผมมีความพยายามที่จะศึกษาภาษาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เคยทิ้งเรื่องภาษาเลยและก็ทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานกับชาวต่างชาติอยู่เสมอๆ มา
เดี๋ยวคราวหน้าใน blog ต่อๆ ไปจะเอาเรื่องฮาๆ น่าอับอายที่ไปเจอมาในแต่ละประเทศมาเล่าให้ฟังใหม่อีกสำหรับครั้งนี้ขอพอไว้แค่นี้ก่อนครับ